การเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต.

11 ธันวาคม 2568
อ่าน 4 นาที

​​​

“การบังคับใช้กฎหมาย” เป็นหนึ่งในบทบาทหน้าที่ก.ล.ต. ให้ความสำคัญมาตลอด โดยดำเนินการบังคับใช้
กฎหมายกับผู้กระทำผิดในทุกกรณีซึ่ง ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงกระบวนการและมีมาตรการหลายด้านเพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพงานตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายภายใต้ความรับผิดชอบของ ก.ล.ต. และจะเห็นได้ว่า
ในช่วงที่ผ่านมา หลายกรณีสามารถดำเนินการกับผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็วขึ้น

ในครั้งนี้ จึงขอเล่าถึงกระบวนการบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต. เพื่อให้เกิดความเข้าใจทั้งกระบวนการ โดยเริ่ม
จากหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญคือ การตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่า มีการ
กระทำผิดตามกฎหมายหรือไม่ ก่อนที่จะเลือกมาตรการในการบังคับใช้กฎหมาย โดยในการตรวจสอบแต่ละ
กรณีมีระยะเวลาในการดำเนินการที่แตกต่างกันขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น แหล่งที่มาของพยานหลักฐาน ปริมาณ
ข้อมูลที่ต้องพิจารณา และความซับซ้อนของการกระทำความผิด รวมทั้ง การเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องชี้แจง
แสดงพยานหลักฐานตามสิทธิอันพึงมีก่อนพิจารณาดำเนินการ (Due Process of Law)

เมื่อพบว่ามีผู้กระทำผิด ก.ล.ต. สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่
การดำเนินการทางปกครอง การดำเนินการทางอาญา และการดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่ง

(1) การดำเนินการทางอาญา เป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมายกับบุคคลซึ่งกระทำการหรือละเว้นกระทำ
การอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ ก.ล.ต. กำกับดูแล สามารถดำเนินการได้ 2 ลักษณะ คือ
          - การดำเนินคดีอาญาตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยในกระบวนการนี้ หลังจากการ
ตรวจสอบในเชิงลึกแล้ว ก.ล.ต. จะ “กล่าวโทษ” ผู้กระทำผิดต่อพนักงานสอบสวน จากนั้นพนักงานสอบสวน
จะสืบสวนสอบสวน รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน และเสนอความเห็นเกี่ยวกับคดีไปยังพนักงาน
อัยการ และพนักงานอัยการจะพิจารณาความสมบูรณ์ครบถ้วนของสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน
ก่อนมีความเห็นสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาตามสำนวนการสอบสวนดังกล่าว และในคดีที่พนักงานอัยการได้
ยื่นฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยแล้ว ศาลยุติธรรมจะเป็นผู้พิจารณาและพิพากษาต่อไป
          อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. แล้ว กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญา
ต่อไปจะเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาล
ยุติธรรม แต่ ก.ล.ต. ยังติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง และให้ร่วมมือกับหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่

          - การเปรียบเทียบความผิดอาญา โดย “คณะกรรมการเปรียบเทียบ” จะเป็นผู้กำหนดค่าปรับ
สำหรับความผิดบางลักษณะที่กฎหมายกำหนดให้สามารถเปรียบเทียบปรับได้

​(2) การดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่ง เริ่มใช้เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2559 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ
บังคับใช้กฎหมายให้รวดเร็วมากขึ้น ทั้งด้านหลักทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัล ในความผิดเกี่ยวกับกระทำการ
อันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขาย (เช่น การสร้างราคาและการใช้ข้อมูลภายใน) การบอกกล่าวข้อความเท็จ
การยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีซื้อขาย และการไม่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการหรือผู้บริหาร

เมื่อ ก.ล.ต. พบการกระทำผิดและเห็นควรใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำผิด ก.ล.ต. จะเสนอให้
“คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง” หรือ ค.ม.พ. พิจารณาว่าสมควรใช้มาตรการลงโทษทาง
แพ่งกับผู้กระทำผิดหรือไม่ และลงโทษด้วยมาตรการใดบ้าง (เช่น ปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินเท่ากับผลประโยชน์
ที่ได้รับฯ และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารฯ) ซึ่ง ค.ม.พ. สามารถใช้มาตรการที่เหมาะสมกับข้อเท็จจริงของ
แต่ละกรณี

ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. มีอำนาจ
ฟ้องบุคคลนั้นต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ศาลพิจารณากำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งให้จำเลยปฏิบัติ พร้อม
กำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายให้จำเลยชำระนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ

(3) การดำเนินการทางปกครอง เป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมายด้วยการออกคำสั่งทางปกครองกับบุคคลที่
ได้รับอนุญาต ได้รับความเห็นชอบ หรือได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมายที่ ก.ล.ต. กำกับดูแล โดยผู้มีอำนาจออก
คำสั่งทางปกครองมีหลายระดับ เช่น ก.ล.ต. คณะกรรมการพิจารณาโทษทางปกครอง หรือคณะกรรมการ
ก.ล.ต. และการสั่งการก็มีได้หลายลักษณะ เช่น ปรับทางปกครอง จำกัดการประกอบการ พักการประกอบการ
และเพิกถอนใบอนุญาต

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2566 – 2568 การดำเนินการบังคับใช้กฎหมายผ่านทั้ง 3 ช่องทางหลักของ ก.ล.ต. มีจำนวนคดีที่
แล้วเสร็จเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีจำนวน 82 คดี ผู้กระทำผิด 280 ราย ปี 2567 มีจำนวน 128 คดี
ผู้กระทำผิด 346 ราย และในปี 2568 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2568) มีจำนวน 158 คดี ผู้กระทำผิด
รวม 373 ราย




ในปี 2568 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน) ก.ล.ต. มีการดำเนินคดีอาญาโดยการกล่าวโทษต่อพนักงาน
สอบสวน จำนวน 48 คดี ผู้กระทำผิด 114 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการกล่าวโทษในฐานความผิด 4 กลุ่มสำคัญ
ได้แก่ (1) ฐานความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น การสร้างราคา การใช้
หรือเปิดเผยข้อมูลภายใน และการแพร่ข่าวหรือข้อความเท็จ (2) การทุจริต (3) แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือ
ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในสาระสำคัญ และ (4) ประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งหมด 12
คดี ผู้กระทำความผิด 47 ราย

ขณะที่มีการดำเนินการตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง จำนวน 22 คดี ผู้กระทำผิด 119 ราย โดยส่วนใหญ่เป็น
ฐานความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งการสร้างราคา การใช้หรือเปิดเผย
ข้อมูลภายใน และการแพร่ข่าวหรือข้อความเท็จ รวม 17 คดี ผู้กระทำผิดรวม 91 ราย

นอกจากการปรับปรุงกระบวนการและเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายในช่วงที่ผ่าน
มาแล้ว ก.ล.ต. ยังมีแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายให้มากขึ้นอีก โดยได้เสนอแก้ไข
กฎหมายให้เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวนในคดี high impact เพื่อบูรณาการทำงานร่วมกับ
พนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ซึ่งจะเป็น
ประโยชน์ในการร่วมสอบสวนคดีโดยใช้ความเชี่ยวชาญมาช่วยให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายในกรณี high
impact มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในขณะนี้อยู่ในกระบวนการออกกฎหมาย​

                                         **************************